กระแสมาแรงจริง ๆ จนเป็น Rare Item ไปแล้ว สำหรับ “ไอศกรีมกูลิโกะ” ไอศกรีมแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นที่เริ่มเข้ามาบุกตลาดเมืองไทยในปี 2558 เป็นประเทศแรก ๆ ซึ่งก่อนหน้าใครจะกินไอศกรีมกูลิโกะ ก็ต้องนั่งเครื่องบินไปซื้อที่ญี่ปุ่นเท่านั้น
“ไอศกรีมกูลิโกะ” มีดีอย่างไร ทำไมคนถึงได้ตามหาซื้อกันมากขนาดนี้ เรามาทำความรู้จักกับ ไอศกรีมกูลิโกะ กัน ไอศกรีมกูลิโกะเป็นสินค้ายี่ห้อเดียวกันกับ “ป๊อกกี้” ที่เรากินกันนั่นแหละ ไม่ใช่ยี่ห้อใหม่อะไร
โดยบริษัทแม่ในญี่ปุ่น ที่ชื่อ บริษัท เอซากิ กูลิโกะ ใช้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท มีแผนเปิดบริษัท กูลิโกะ โฟรเซ่น (ประเทศไทย) เพื่อทำการผลิตและจำหน่ายไอศกรีมในประเทศไทย แต่ในระยะแรกจะจ้างบริษัทอื่นผลิตให้ไปก่อน โดยใช้สูตร และขั้นตอนผลิตจากญี่ปุ่นเลย
ปัจจุบันไอศกรีมกูลิโกะ มีขายอยู่ 4 แบบ 8 รสชาติ ได้แก่
- พาลิตเต้ (Palitte) มี 2 รส คือ รสนมและช็อกโกแลต กับ รสนมและไวท์ช็อกโกแลต
- ไจแอนท์ โคน (Giant Cone) มี 2 รส คือ รสช็อกโกแลตและถั่วลิสง กับรสช็อกโกแลตและคุกกี้
- พาแนปป์ (Panapp) มี 2 รส คือ รสสตรอเบอร์รี่ กับรสองุ่น
- เซเว่นทีน ไอซ์ (Seventeen Ice) มี 2 รส คือ รสมิ้นท์และช็อกโกแลต กับรสวานิลลาและคุกกี้
โดยราคาของไอศกรีมกูลิโกะ มีตั้งแต่ 20 – 35 บาท ซึ่งถือเป็นราคากลางๆ ไม่แพงเกินไป คนไทยสามารถซื้อกินได้
สำหรับวิธีการทำตลาดของไอศกรีกูลิโกะในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จ โดยใช้กลยุทธ์ตั้งใจสร้างกระแสผ่าน Social Network ต่าง ๆ, ผลิตสินค้าออกมาจำนวนไม่มาก, วางขายอยู่ไม่กี่ร้าน เพื่อให้คนตามหา เพราะเขารู้ว่าคนไทยชอบลองของใหม่ (และเป็นกระแส!) จนเป็น Viral เมื่อมีคนได้กินแล้ว ก็จะแชร์ หรือ คนที่หาซื้อได้ก็จะถ่ายรูปและโพสต์ในทันที จนเป็นปรากฏการณ์ “ตามล่าไอติมกูลิโกะ” และร้านค้าที่ขายส่วนใหญ่ ขายหมดเกลี้ยง จนสินค้าขาดตลาด
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยถ้าจะหาซื้อไอศกรีมกูลิโกะมาลองกิน ไปที่ไหนก็ขายหมด หาซื้อยากมาก ๆ
ใครที่สนใจลองไอศกรีมกูลิโกะ สามารถหาซื้อได้ที่ 7-11, Family Mart, Maxvalu, Tops, Fuji Market